วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Golden Retriever



Helloooooooo.. มาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เราจะมาพูดถึงสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราอีกเช่นเคย แต่ครั้งที่แล้วเราพูดถึงน้องหมาพันธ์เล็กพกพาสะดวกอย่างเจ้าชิวาว่าน้อยไปแล้ว คราวนี้ถึงคราวพี่ใหญ่บ้างล้าวววว.. อิอิ จะเป็นพันธ์อะไรน้า ติ๊กต๊อกๆ  ปิ้งงง.. นั้นก้คือ เจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ นั้นเอง เจ้าสุนัขพันธ์โกลเด้นนี้ เป็นสัตว์ที่คนไทยหลายๆคนเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่นไม่ต่างจากสุนัขชิวาว่า แต่ต่างกันที่ "ขนาด" ถ้าเอามายืนเทียบกันแล้ว เจ้าชิวาว่าตัวน้อยกลายเป็นขนมเคี้ยวเล่นของพี่โกลเด้นกันไปเลย พูดมาขนาดนี้แล้ว เราไปรู้จัก สุนัขสายพันธ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์กันเลยดีกว่าาาา.. เย้ !!!! 


ประวัติของสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์
          
          โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษและสก๊อตแลนด์ โดยมีการบันทึกไว้ในช่วงทศวรรษที่  1860   ซึ่งบันทึกไว้ว่าได้มีคณะละครสัตว์ของรัฐเซีย   ได้นำฝูง สุนัข มาแสดง จนทำให้ท่านลอร์ด  ทวีดมัธ  ( Lord  Tweedmouth ) รู้สึกประทับใจ จึงได้ทำการขอซื้อไว้แล้วนำมาผสมพันธุ์หลายชั่วอายุ  จึงได้สายพันธุ์ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ในที่สุด แต่การนำมาผสมกับสายพันธุ์ไหนนั้นยังไม่มีหลักฐานสรุปที่แน่นอน  แต่มีการสันนิษฐานว่า โกลเด้น มีสายเลือดผสมระหว่างสุนัขพันธุ์ Yellow Flat-Coated Retriever และ Light-Coated Tweed Water Spaniels และอาจจะมีสายพันธุ์ของ Newfoundland หรือ Bloodhound ผสมอยู่ด้วย          



          ทั้งนี้ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็น สุนัข ที่มีความเชี่ยวชาญทางน้ำ โดยแต่เดิมเป็น สุนัข ที่ใช้ในกีฬาล่าสัตว์ นายพรานจะใช้ โกลเด้น ไปเก็บเป็ดน้ำที่ยิงได้กลับมา เนื่องจากมีประสาทสัมผัสดีเลิศทั้งในด้านของการฟังเสียง การดมกลิ่นสะกดรอย นอกจากนี้ โกลเด้น ยังมีสายตาอันเฉียบคมและแม่นยำ ด้วยเหตุนี้วงการทหารและตำรวจในหลายๆ ประเทศจึงได้นำ สุนัขพันธุ์โกลเด้น นี้มาฝึกเพื่อไว้ช่วยงานราชการ อาทิเช่น ตรวจค้นยาเสพติด, ดมกลิ่นสะกดรอยคนร้าย, ยามรักษาความปลอดภัย แต่ที่ดูเหมือนจะได้รับความนิยมสูงสุด ก็เห็นจะได้แก่ฝึกให้เป็น สุนัข นำทางคนตาบอด ทั้งนี้เพราะ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขฉลาด และสุภาพ

          โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ หรือที่บางคนเรียก เยลโล่ รีทรีฟเวอร์ ( YELLOW RETRIEVER ) เป็นที่รู้จักและนิยมเลี้ยงกันแพร่หลายในประเทศอังกฤษ จนในปี ค.ศ. 1930 โกลเด้น ก็เริ่มเป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา โดยยุคนั้นชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะเลี้ยง โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ไว้เพื่อเป็นนักล่า 


    ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1977 ได้จัดให้มีการประกวดความสามารถและความฉลาดแสนรู้ของ สุนัข ซึ่งผลปรากฏว่า สุนัข ที่ได้รางวัลที่ 1-3 ล้วนเป็น สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ทั้งสิ้น จากผลการประกวดในครั้งนั้นทำให้ชาวอเมริกันเริ่มเกิดความตื่นตัว และหันมาให้ความสนใจเลี้ยง สุนัขพันธุ์โกลเด้น เป็น สัตว์เลี้ยง กันมากขึ้น






มาตรฐานสายพันธ์ของสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์

ลักษณะทั่วไป : โครงสร้างได้สัดส่วน และดูแข็งแกร่งทรงพลัง เป็นสุนัขที่มีความกระตือรือร้นตลอดเวลา ค่อนข้างสงบเสงี่ยม ไม่ส่งเสียงโดยไม่มีเหตุผล เป็นสุนัขที่มีนิสัยค่อนข้างจะเป็นมิตรกับทุกๆ คน ดังนั้นจึงสามารถพาไปไหนมาไหนโดยไม่สร้างปัญหา มีความเฉลียวฉลาด ว่านอนสอนง่าย เป็นสุนัขที่มีความปราดเปรียวและอดทน ลีลาในการย่างก้าวหรือไหวเป็นไปด้วยความนิ่มนวล


อุปนิสัย : มีความกระตือรือร้นตลอดเวลา ค่อนข้างสงบเสงี่ยม ไม่ส่งเสียงโดยไม่มีเหตุผล มีขนาดปานกลาง ไม่เทอะทะเก้งก้างจนดูเกะกะ
ศีรษะ : กะโหลกใหญ่และกว้างโค้งได้รูปสวยงาม ไม่หยักเป็นร่องลึกหรือโหนกนูนจนมีลักษณะเป็นรูปโดม ช่วงรอยเชื่อมระหว่างจมูก ปาก และหน้าผาก มีความลาดเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับหัก หรือ เชื่อมต่อเป็นเส้นตรงเดียวกัน ใบหน้าลึกและกว้างขนาดพอๆ กับศีรษะ, สันจมูก, ปาก เป็นเส้นตรงเวลามองจากด้านข้างปลายจมูก ปากค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นรับกับขนาดของกะโหลกศีรษะลักษณะรูปทรงคล้ายลิ่มแลดูแข็งแกร่ง หนังย่นบริเวณหน้าผากอนุโลมให้มีได้ แต่ลักษณะของใบหน้าที่สวยงาม หนังบริเวณใบหน้าควรจะเรียบตึง
ฟัน : ต้องขบกันได้แนบสนิทเหมือนกรรไกร โดยฟันด้านหน้าแถวบนขบเกยอยู่ด้านนอก ซึ่งลักษณะของฟันสำหรับสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจากเป็นสุนัขที่มีหน้าที่ในการเก็บหรือคาบเหยื่อ ดังนั้นอำนาจในการขบกัดจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากสุนัขมีฟันหน้าชุดบนและชุดล่างขบเสมอกันพอดีเหมือนประตูลิฟท์ถือว่าใช้ ไม่ได้ แต่ยังพออนุโลมผ่อนผันให้ได้ เว้นแต่ฟันหน้าชุดล่างขบเกยอยู่ด้านนอก หรือฟันหน้าชุดบนและล่างขบเกยไม่สนิทกันถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรง ถ้าฟันมีคราบหินปูนเกาะ ฟันผุ หรือฟันมีลักษณะเว้าแหว่งถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงเช่นกัน
จมูก : จะต้องเป็นสีดำหรือสีน้ำตาล ส่วนจะเข้มหรืออ่อนก็ขึ้นอยู่กับสีขน แต่ถ้าจมูกเป็นสีชมพูถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรง
หู : หูควรสั้นพอประมาณ ใบหูมีลักษณะห้อยปกลงแนบกับส่วนแก้ม รูปทรงค่อนไปทางรูปสามเหลี่ยม ปลายมน เวลาดึงใบหูไปด้านหน้าความยาวของใบหู หูควรปกคลุมลูกตาได้พอดี แต่ถ้าหากฐานใบหูตั้งอยู่ในตำแหน่งต่ำเกินไป หรือหูมีลักษณะเหมือนสุนัขในกลุ่มฮาวน์ หรือดัชชุน ถือเป็นข้อบกพร่อง
ลำคอ : ควรยาวพอประมาณ ลำคอควรตั้งบนหัวไหล่ แลดูมั่นคงกล้ามเนื้อแลเห็นเด่นชัด ขนบริเวณรอบคอห้ามมีการตกแต่ง คอต้องไม่มีเหนียงยื่นโผล่ออกมา
ลำตัว : โครงสร้างลำตัวกระชับได้สัดส่วน อกลึกและกว้าง ความกว้างของอกอย่างน้อยควรมีขนาดพอๆ กับ ฝ่ามือของผู้ชายวางทาบเสมอพอดี ส่วนความลึกของอกควรลึกเสมอข้อศอกขาหน้า กระดูกซี่โครงควรโค้งได้รูปแข็งแรง โดยส่วนแผ่นหลังจะแลดูหนากว่าใต้ท้อง ลำตัวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มีความลึกและหนาแลดูบึกบึน แผ่นหลังเรียบตรง โดยมีลักษณะลาดเทจากหัวไหล่ ไปทางบั้นท้ายเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นเวลายืนนิ่งๆ หรือกำลังเคลื่อนไหว โกลเด้น รีทรีฟเวอร์มีหน้าอกเล็กแคบ อกตื้น เส้นหลังแอ่นหรือลาดเทมากเกินไป หรือก้นโด่ง ลำตัวบอบบางเกินไป เวลาเคลื่อนไหวเส้นหลังแกว่ง แลดูขาดความแข็งแกร่งล้วนเป็นข้อบกพร่อง
อุ้งเท้า : มีขนาดปานกลาง เป็นรูปทรงกลม อุ้งเท้ากระชับ นิ้งเท้าไม่กางแบะออกเหมือนตีนเป็ด ขนบริเวณใต้อุ้งเท้าควรได้รับการขลิบออก เพื่อช่วยให้การยึดเกาะมั่นคงยิ่งขึ้น นิ้วติ่งขาหน้าควรกำจัดออกให้หมด แต่โดยปกติจะไม่ค่อยปรากฏนิ้งติ่งให้เห็น โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ เวอร์ที่มีอุ้งเท้าแบะหรืออุ้งเท้าแหลมคล้ายอุ้งเท้าของกระต่าย ถือเป็นข้อบกพร่อง
หาง : ควรตั้งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดต่อจากเส้นหลัง หางมีขนาดใหญ่โดยเฉพาะบริเวณโคนหางควรจะมีกล้ามเนื้อ ปกติหางจะมีลักษณะห้อยลงต่ำโค้งได้รูปกับสะโพก ความยาวของหางพอๆ กับมุมข้อศอกขาหลัง ในยามที่สุนัขที่ดีใจหางจะโบกสะบัดไปมา บางครั้งอาจงอม้วนขึ้นสูงเหนือระดับแผ่นหลัง
ลำตัวหน้า : เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มีขนาดเหมาะสมรับกับลำตัวส่วนหลังขณะที่เดินหรือวิ่ง การก้าวย่างเป็นไปอย่างอิสระ การก้างย่างของขาอยู่ในแนวเดียวกับรัศมีของหัวไหล่ กระดูกขามีขนาดค่อนข้างใหญ่และเหยียดตรง กระดูกข้อเท้าสั้นและแข็งแรง มีความลาดเอียงเพียงเล็กน้อย
ลำตัวหลัง : หนาและแข็งแรง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ บั้นท้ายมีลักษณะลาดเทเล็กน้อย กระดูกขาท่อนบนทอดไปทางด้านหลัง ส่วนกระดูกขาท่อนล่างเหยียดตรงทำมุมฉากกับพื้น โดยขาท่อนล่าง(แข้ง)ยิ่งมีขนาดสั้นเท่าไหร่ยิ่งดี
ขน : ขนดกแน่น สามารถปกป้องน้ำได้เป็นอย่างดี ขนมี 2 ชั้น ขนชั้นนอกจะยาวและมีลักษณะค่อนข้างแข็ง แต่ไม่ถึงกับหยาบกระด้าง เส้นขนมีความยืดหยุ่นในตัว ถ้าหากขนมีลักษณะเส้นเล็กหรือไม่ดกแน่นถือเป็นข้อบกพร่อง ลักษณะของขนที่ถูกต้องจะต้องขึ้นแนบติดลำตัว ส่วนเส้นขนจะเหยียดตรงหรือหยักศกเล็กน้อยไม่เป็นข้อบกพร่อง สำหรับขนบริเวณด้านหลังของขาและใต้ท้องจะมีลักษณะค่อนข้างอ่อนนุ่มกว่าขนตาม ลำตัว โดยเฉพาะขนที่บริเวณใต้คอ ด้านหลังของต้นขาหลัง และขนใต้หาง จะมีลักษณะอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ส่วนขนบริเวณศีรษะ ด้านหน้าของขา(หน้าแข้ง) และเท้าจะมีลักษณะสั้นและเรียบ โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่มีเส้นขนยาวจนเกินไป ขนฟูเป็นกระเซิงไม่แนบติดกับลำตัว หรือมีขนเบาบางไม่ดกแน่น ขนเส้นเล็กล้วนถือเป็นข้อบกพร่อง การตัดแต่งขนจะตัดเฉพาะอุ้งเท้าเท่านั้น
สี สีต้องเป็นสีน้ำตาลออกทอง ส่วนจะมีสีเข้มอ่อนไม่มีปัญหา ขนตามใบหน้าและลำตัวอาจจะมีเหลือบเทาหรือขาวก็ได้ แต่ถ้าเป็นรอยแต้มด่างสีขาว หรือมีขนสีขาวขึ้นแซมถือเป็นข้อบกพร่อง ยกเว้นโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่มีขนสีทองอ่อน ซึ่งมีสีจืดหรือจางมากๆ และสีขาวด่างที่ปรากฏแลดูกลมกลืนกับสีขน ก็ถือเป็นข้ออนุโลม และถ้าหากพื้นที่ของสีขนส่วนใหญ่มีสีซีดจางเกินไป หรือเข้มมากเกินไปก็ถือว่าเป็นข้อบกพร่อง พูดง่ายๆ ก็คือ ถามีขนออกไปทางโทนสีครีมอ่อนๆ หรือสีน้ำตาลไหม้ ขนส่วนนี้จะต้องมีพื้นที่เป็นเพียงส่วนน้อยของขนทั้งหมด คือจะต้องมีโทนสีเข้มกว่าหรืออ่อนกว่ามาช่วยเสริม และสีขนส่วนที่จะมาช่วยเสริมต้องครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่า โกลเด้น รีทรีฟเวอร์บางสายพันธุ์ขณะที่ยังเป็นลูกสุนัขอาจจะมีสีซีดจาง แต่เมื่อโตขึ้นสีก็จะเข้มขึ้นโดยธรรมชาติ สำหรับโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ที่มีสีอ่อน นอกเหนือจากที่กล่าวมาล้วนถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรง
การเคลื่อนไหว : การก้าวย่างเป็นไปอย่างอิสระ แลดูนุ่มนวลแต่ทรงพลังและสง่างาม เวลาที่วิ่ง ระยะการย่างก้าวของขาหน้าและขาหลังจะต้องมาบรรจบกันที่กึ่งกลางลำตัว เวลาเดินหรือวิ่งขาต้องไม่แกว่งหรือปัด ซึ่งในการประกวดการเคลื่อนไหวของโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก
ขนาด : เพศผู้ควรมีความสูงระหว่าง 23-24 นิ้ว(ความสูงวัดที่หัวไหล่ขาหน้า) ส่วนเพศเมียควรมีความสูงอยู่ในช่วงระหว่าง 21-22 นิ้ว หากความสูงน้อยกว่าหรือมากกว่ามาตรฐานที่กำหนดไม่เกิน 1 นิ้ว ถือเป็นข้ออนุโลม แต่ถ้าสูงหรือเตี้ยกว่าเกิน 1 นิ้ว จากเกณฑ์มาตรฐานถือเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงมาก สำหรับความยาวของลำตัวโดยวัดจากหน้าอกถึงบั้นท้าย ควรมีสัดส่วนความยาวมากกว่าความสูงเล็กน้อย คือ สัดส่วน 12 :11 ส่วนน้ำหนักของสุนัขเพศผู้ควรอยู่ในช่วงระหว่าง 65-75 ปอนด์ สำหรับเพศเมีย 55-56 ปอนด์
อารมณ์ : ควรมีความเป็นมิตรกับทุกๆ คน ไม่มีนิสัยขี้หวาดระแวงและดูน่าเชื่อไว้วางใจได้ ไม่มีนิสัยก้าวร้าวดุร้าย แต่ก็ไม่ขี้ขลาดตาขาวด้วย


โรคที่พบบ่อยในสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์

1. โรคผิวหนัง

     สุนัขขนยาวอย่างโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ คงหนีไม่พ้นต้องมีโรคทางผิวหนังกับเขาเหมือนกัน ด้วยนิสัยที่ลุย ๆ ชอบคลุกดิน เล่นน้ำ ประกอบกับภูมิอากาศร้อนชื้นในบ้านเรา หากเจ้าของละเลยเรื่องการดูแลรักษาความสะอาด ปล่อยไว้นานวันเข้า ก็อาจทำให้เจ้าโกลเด้นฯ ของเรา ป่วยเป็นโรคผิวหนังได้ เห็นน้องหมาโกลเด้นฯ ตัวใหญ่แรงเยอะอย่างนี้ ความจริงแล้วกลับเป็นสุนัขที่มีผิวหนังที่บอบบางและแพ้ง่าย ซึ่งโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยในน้องหมาพันธุ์นี้ ก็ได้แก่

     ภูมิแพ้ละอองอากาศหรือภูมิแพ้จากการสูดดม เป็นภาวะภูมิไวเกินประเภทที่ I ซึ่งเกิดจากการได้รับสารก่อภูมิแพ้ (allergens) ผ่านการสูดดมเอาละอองในอากาศหรือสิ่งแวดล้อมเข้าไป นอกจากนี้ยังรวมถึงการสัมผัสผ่านผิวหนังหรือการกินเข้าไปด้วย ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ดังกล่าวก็มีมากมายหลายอย่าง เช่นละอองเกสร ไรฝุ่น ขนสัตว์ ซากแมลง สปอร์ของเชื้อรา สะเก็ดผิวหนังของคนและสัตว์ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอนุภาคเล็ก จนบางครั้งเราก็อาจมองไม่เห็น

     ซึ่งน้องหมาที่เป็นจะแสดงอาการคัน โดยเฉพาะบริเวณฝ่าเท้า อุ้งเท้า ใต้คาง รอบปาก รอบตา ใบหู รักแร้ และหน้าท้อง ตลอดจนแสดงอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีรอยแดง ขนร่วง มีสะเก็ด รังแค ผิวหนังแห้งหนาตัว ในรายที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น เชื้อยีสต์ เชื้อแบคทีเรีย ฯลฯ ก็อาจจะพบผิวหนังอักเสบมันเยิ้ม เกิดเป็น Hot spots มีกลิ่นตัว หูอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ ริมฝีปากอักเสบ (cheilitis) และเกิดผิวหนังอักเสบเป็นหนองตามมาได้ด้วย

     โรคช่องหูอักเสบ เป็นอีกโรคสำคัญมากในน้องหมาพันธุ์โกลเด้นฯ ส่วนหนึ่งเกิดจากสาเหตุที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (atopic dermatitis) อยู่แล้ว จึงมักทำให้เกิดโรคนี้อยู่บ่อย ๆ ส่วนสาเหตุรองก็เกิดจากการที่เราละเลย การดูแลทำความสะอาดช่องหูอย่างถูกวิธีต่อเนื่องเป็นประจำ ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อยีสต์ตามมา ยิ่งในรายที่มีปัจจัยโน้มนำอย่างการมีขนในรูหู รูหูมีลักษณะตีบแคบ ความชื้นในรูหูที่มีมากเกินไปด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เกิดโรคนี้ง่ายกว่าสุนัขตัวอื่น ๆ ยิ่งเข้าไปใหญ่


2. โรคระบบต่อมไร้ท่อ

     ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine gland system) เป็นต่อมที่มีการสร้างสารที่ออกฤทธิ์ควบคุมการทำงานในร่างกาย ซึ่งสารที่สร้างออกมานี้ จะถูกลำเลียงผ่านกระแสเลือดไปออกยังอวัยวะเป้าหมายที่จำเพาะ โดยไม่มีเส้นทางลำเลี้ยงเป็นท่อของตัวเอง จึงเรียกระบบนี้ว่า ระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งสารที่ต่อมสร้างก็ได้แก่ พวกฮอร์โมนต่าง ๆ นั่นเอง ในร่างกายของน้องหมาจะมีต่อมไร้ต่ออยู่หลายแห่ง และแต่ละแห่งก็สร้างฮอร์โมนที่ต่างกันไป



     ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ (Hypothyroidism) ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมไร้ท่อที่อยู่บริเวณลำคอ มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนไทรอกซิน (T4) และ ไตรไอโอโดไทโรนีน (T3) ไว้ช่วยในการควบคุมการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย จากการเก็บข้อมูลของ Orthopedic Foundation for Animals หรือ O.F.A. พบว่าน้องหมาพันธุ์โกลเด้นฯ ป่วยเป็นโรคภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ประมาณ 4.9% แต่ในการสำรวจของสมาคม Golden Retriever Club of America (GRCA) ในปี ค.ศ. 1998-1999 กลับพบสุนัขพันธุ์โกลเด้นป่วยด้วยโรคนี้สูงถึง 1 ใน 4 เลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของตัวต่อมไทรอยด์เอง (Primary Hypothyroidism)

     บางรายมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น เชื่องช้า เซื่องซึม อ่อนแรง เหนื่อยง่าย และอยากนอนมากกว่าปกติ แต่บางรายอาจก้าวร้าวมากขึ้น เนื่องจากการควบคุมสมดุลของสารซีโรโทนิน (serotonin) เสียไป ซีโรโทนินเป็นสารสื่อประสาท มีบทบาทควบคุมอารมณ์ ความโกรธและความก้าวร้าว หากซีโรโทนินในร่างกายน้อย ย่อมส่งผลทำให้น้องหมาก้าวร้าวขึ้นได้


3. โรคมะเร็ง


     โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของน้องหมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์เลยก็ว่าได้ จากการสำรวจของสมาคม Golden Retriever Club of America (GRCA) ในปี ค.ศ. 1998-1999 พบว่า ชนิดของมะเร็งที่พบมากที่สุด 4 ลำดับแรกในสุนัขพันธุ์โกลเด้นฯ คือ มะเร็งในหลอดเลือด (Hemangiosarcoma) มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphosarcoma) มะเร็งผิวหนังชนิด Mast cell tumor และมะเร็งกระดูกชนิด osteosarcoma ตามลำดับ แต่ในสหราชอาณาจักร กลับพบว่าน้องหมาพันธุ์โกลเด้นฯ เป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) มากที่สุด ซึ่งแนวโน้มการเป็นโรคมะเร็งของน้องหมาพันธุ์นี้นั้น พบว่ามีอุบัติการณ์เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา แคนาคา สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก และออสเตรเลีย  โดยช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุด คืออายุ 8-12 ปี เรามาทำความรู้จักกับโรคมะเร็งที่พบบ่อยในน้องหมาพันธุ์โกลเด้นฯ ทีละชนิดกันเลยดีกว่า
     มะเร็งชนิดนี้พบได้ในสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ถึง 18.7% หรือ ประมาณ 1 ใน 5 เลยทีเดียว โดยอายุเฉลี่ยที่พบ คือ ประมาณ 10.3 (+/- 2.3) ปี และเนื่องด้วยเป็นมะเร็งที่เกิดกับเซลล์ของหลอดเลือด (endothelial cells) จึงทำให้สามารถพบได้ในอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย โดยอวัยวะที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ม้าม นอกจากนี้ยังพบได้ใน หัวใจ ตับ ปอด สมอง และผิวหนัง ซึ่งเรียกว่า cutaneous hemangiosarcoma แต่หากพบในอวัยวะภายในร่างกาย เราจะเรียกว่า visceral hemangiosarcoma
     น้องหมาที่เป็นมะเร็งชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเกิดกับอวัยวะภายในร่างกาย เจ้าของจึงมักไม่ทราบถึงความผิดปกติด้วยตาเปล่า สุนัขบางรายอาจมีช่องท้องโตขึ้นหรือน้ำหนักตัวลดลงเท่านั้น จนเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดโตมากขึ้น จนไปกดเบียดอวัยวะอื่น ๆ รบกวนการใช้ชีวิต ทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ สุนัขจึงแสดงอาการซึม ไม่กินอาหาร อ่อนแรง เหงือกซีด หายใจลำบาก บางรายก้อนมะเร็งใหญ่มากจนแตก อวัยวะเกิดการฉีกขาด พบเลือดออกในร่างกาย และอาจเสียชีวิตได้แบบเฉียบพลันได้

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphosarcoma หรือ Lymphoma)
     มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่พบได้ทั้งในคนและในสัตว์หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นหมาหรือแมว ซึ่งในน้องหมาพันธุ์โกลเด้นฯ พบมะเร็งชนิดนี้ 11.5% (ประมาณ 1 ใน 8) โดยอายุเฉลี่ยที่พบ คือ ประมาณ 8.5 (+/- 2.9) ปี เจ้าของจะสังเกตพบว่า น้องหมาจะมีการบวมโตของต่อมน้ำเหลืองในตำแหน่งต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ที่พบได้บ่อยก็อย่างเช่น ต่อมน้ำเหลืองใต้กรามล่าง รักแร้ อก โคนขาหนีบ ต้นขาหลังด้านท้าย ช่องท้อง เป็นต้น ในรายที่เป็นระดับรุนแรง อาจพบการแพร่กระจายไปได้ทั่วตัว และเข้าไปยังอวัยวะภายในอื่น ๆ เช่น ตับ ม้าม หรือไขกระดูกได้ด้วย
     มะเร็งผิวหนังชนิด Mast cell tumor พบได้ในน้องหมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ 8.2% หรือประมาณ 1 ใน 13 โดยอายุเฉลี่ยที่พบ คือ ประมาณ 10.5 (+/- 2.1) ปี สำหรับมะเร็งชนิดนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ mast cell ซึ่งปกติจะพบได้ในขบวนการแพ้ต่าง ๆ ของร่างกาย พัฒนาจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง เจ้าของจะสังเกตพบว่า น้องหมาจะมีเม็ดตุ่มเล็ก ๆ ตามผิวหนัง ลักษณะยืดหยุ่นไม่แข็งเป็นไต แล้วต่อมาก้อนดังกล่าว พัฒนาโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นก้อนเนื้องอกสีแดง ๆ และเกิดการอักเสบขึ้น น้องหมาจะแสดงอาการคันบริเวณดังกล่าวรุนแรง เนื่องจากเกิดการหลั่ง Histamine ออกมา
มะเร็งกระดูกชนิด osteosarcoma    
     มะเร็งกระดูกชนิด osteosarcoma ส่วนมากพบในสุนัขพันธุ์ใหญ่ อาทิเช่น ร๊อตไวเลอร์ เซนต์ เบอร์นาร์ด เกรทเดน โดเบอร์แมน พินเชอร์ ไอริส เซตเตอร์ และเยอรมัน เชฟเพิร์ด ส่วนในน้องหมาพันธุ์โกลเด้นฯ นั้นพบอยู่ 5.2% (ประมาณ 1 ใน 20) โดยอายุเฉลี่ยที่พบ คือ ประมาณ 9.7 (+/- 3.1) ปี ซึ่งมะเร็งกระดูกที่เจ้าของส่วนใหญ่สังเกตพบ มักเป็นตำแหน่งกระดูกระยางค์ (ขา) ทำให้มีการสลาย และ/หรือสร้างกระดูกมากไป จนเนื้อเยื่อรอบข้างเกิดการบวม ซึ่งทำให้น้องเจ็บปวดทรมานและอาจทำให้กระดูกเกิดการหักตามมาได้ ที่สำคัญมะเร็งกระดูกยังสามารถแพร่กระจาย โดยผ่านกระแสเลือดไปยัง ปอด ไต ตับ ม้าม ฯลฯ ได้ด้วย


ภาวะภูมิแพ้ละอองอากาศ (Atopy, Atopic dermatitis) 
     การป้องกันนอกจะต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดแล้วอย่างเต็มที่แล้ว การจัดการทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย ระมัดระวังการพาออกไปนอกบ้าน เพื่อลดการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ อาบน้ำโดยเลือกใช้แชมพูสูตร hypoallergenic หรือสูตรที่คุณหมอแนะนำเป็นประจำ เพื่อชำระล้างสารก่อภูมิแพ้ที่อาจอยู่บนตัวออก และช่วยกำจัดสิ่งสกปรกหรือเชื้อก่อโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตลอดจนปรับสูตรอาหารหรือเสริมสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวหนังให้น้องหมา อย่างเช่น โอเมก้า-3 (eicosapentaenoic acid) โอเมก้า -6 (Linoleic acid) เป็นต้น ก็จะสามารถช่วยน้องหมาได้ แต่สำหรับในรายที่คันมาก ๆ แนะนำให้พาไปตรวจก่อน เพื่อจะได้รักษาอย่างถูกต้องต่อไป
 โรคช่องหูอักเสบ (Otitis)
     ซึ่งน้องหมาที่เป็นจะแสดงอาการคันหู บางตัวเอาขาหลังมาเกาหู เอาหูถูไถกับพื้นหรือฝาหนัง สะบัดหัวให้เราเห็นบ่อย ๆ บางตัวสะบัดหัวและเกาหูมากจนเกินไป เป็นเหตุให้เส้นเลือดในใบหูแตก ใบหูบวมโต เพราะเกิดเลือดคั่งข้างใน เรียกว่า aural hematoma บางรายมีกลิ่นหูเหม็นรุนแรง ใบหูด้านในอักเสบแดง หนาตัว และมีสะเก็ด รังแค มันเยิ้ม เกิดหูน้ำหนวก ซึ่งหากเราใช้มือบีบบริเวณฐานใบหูของน้องหมา เราอาจจะได้ยินเสียงคล้ายน้ำกระฉอกไปมาในรูหู ซึ่งน้องหมาบางตัวอาจร้อง เพราะเจ็บปวดจากการอักเสบอยู่ด้วยก็ได้
     ปัญหาของระบบต่อมไร้ท่อที่พบในน้องหมาส่วนใหญ่ก็คือ การสร้างฮอร์โมนออกมามากเกินไปหรือน้อยเกินไป ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเกิดปัญหา ซึ่งโรคระบบต่อมไร้ท่อที่มักพบในน้องหมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ก็ ได้แก่
     น้องหมาที่เป็นจะแสดงอาการได้หลากหลาย เช่น พบว่าน้องหมาจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น (อ้วนขึ้น) ทั้ง ๆ ที่กินอาหารตามปกติ มีปัญหาที่ผิวหนังและเส้นขน โดยพบว่าน้องหมามีขนร่วง โดยร่วงแบบสมมาตร (ลำตัวซ้าย-ขวาขนร่วงเท่ากัน) มีขนที่หางร่วงหรือบางลง จนมีลักษณะคล้ายกับหางของหนูบ้าน ผิวหนังบริเวณใบหน้า หน้าผาก หนาตัว เห็นเป็นรอยย่น บริเวณเปลือกตาบนย้อยลงมา เราเรียกลักษณะหน้าตาเช่นนี้ว่า tragic facial expression หรือ tragic face syndrome
     น้องหมาที่ป่วยเป็นภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ จะต้องทำการรักษาด้วยเสริมฮอร์โมนไทรอกซินเข้าไป โดยคุณหมออาจจะให้ป้อนวันละ 1-2 ครั้ง แล้วแต่กรณี แต่ยาจะออกฤทธิ์ดีเมื่อเจ้าของทำการป้อนให้ในขณะที่ท้องว่าง จึงแนะนำให้ป้อนก่อนอาหารอย่างน้อย 30 นาที ซึ่งถ้ามีการตอบสนองต่อการรักษาดี อาการน้องหมาจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1-2 เดือน จากนั้นก็จึงมีการปรับลดระดับยาให้เหมาะสมต่อไปครับ เพื่อน ๆ  ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความ น้องหมาของเราป่วยเป็นภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำหรือเปล่า

 มะเร็งในหลอดเลือด (Hemangiosarcoma หรือ HSA)
     โชคร้ายที่น้องหมาเมื่อเป็นมะเร็งชนิดนี้ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถใช้การรักษาโดยการผ่าตัด ให้เคมีบำบัด ตลอดจนการจัดการรักษาทางเลือกต่าง ๆ เช่น โภชนาการบำบัด และสมุนไพรต่าง ๆ ร่วมกับการให้การรักษาแบบประคับประคองอาการ สามารถช่วยยืดอายุได้ประมาณ 3-6 เดือน (หรือมากกว่า) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่เกิดด้วย โดยพบว่าในรายที่พบมะเร็งที่ผิวหนัง พยากรณ์โรคจะดีกว่าพบในอวัยวะอื่น ๆ ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุด คือ การพาน้องหมาเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดเป็นประจำได้ตั้งแต่อายุ 6 ปีขึ้นไป ซึงหากพบตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้รับทำการรักษาเพื่อลดการแพร่กระจาย อันจะเป็นการช่วยยืดชีวิตน้องหมาให้ยาวนานมากขึ้น
การรักษา มีทั้งการผ่าตัด (เฉพาะในรายที่เป็นแบบจำกัด ไม่พบการแพร่กระจาย) และการรักษาโดยใช้เคมีบำบัด ซึ่งเป็นวิธีที่คุณหมอส่วนใหญ่มักเลือกใช้ โดยมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน ทั้งยาฉีดเข้าเส้นเลือด ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หรือยากิน ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาการรักษาแตกต่างกันไป เพื่อจำกัดการแพร่กระจายและลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำใหม่ ยกเว้นในรายที่เป็นระยะสุดท้าย (ระยะที่ 5) ซึ่งมีการแพร่เข้าสู่ไขกระดูกและระบบประสาทแล้ว จะไม่สามารถกำจัดได้หมดแล้ว แต่การรักษาจะสามารถช่วยยืดชีวิตน้องหมาออกไปได้ประมาณ 3-12 เดือน 
มะเร็งผิวหนังชนิด Mast cell tumor
     เมื่อน้องหมาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิดนี้แล้ว จะต้องรีบทำการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก เพื่อลดการแพร่กระจาย บางรายคุณหมออาจพิจารณาให้การรักษาทางเคมีบำบัดร่วมด้วย ในรายที่พบตั้งแต่ก้อนเล็ก ๆ ไม่พบการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรือปอด การพยากรณ์โรคจะดีกว่า แต่เจ้าของก็ควรพาน้องหมาเข้ารับการตรวจเป็นประจำ เพื่อเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำอีกในอนาคต
     เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งกระดูก ส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้ทำการผ่าตัดขาข้างที่เป็นออก เพื่อช่วยลดความเจ็บปวด ทรมาน และผลที่จะเกิดกระดูกหักตามมา แล้วอาจทำการรักษาต่อร่วมกับวิธีทางเคมีบำบัด ฉายรังสี หรือวิธี immunotherapy ซึ่งสามารถช่วยยืดอายุน้องหมาออกไปได้ประมาณ 3-6 เดือนหรือมากกว่า ซึ่งพบว่า 35-50% ของสุนัขที่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัด สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 1 ปี แต่หากไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เลย น้องหมาจะเสียชีวิตใน 2-4 เดือนโดยประมาณ

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Chichuchu

          
          สวัสดีค่าาา สำหรับบล๊อกสัตว์เลี้ยงแสนรักนี้บทความแรก เรามารู้จักสัตว์เลี้ยงแสนน่ารักที่ไม่ว่าช่วงนี้จะเดินไปทางไหนเราจะต้องเห็นคนจูงไปมาหรืออาจจะซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าสะพายของใครคนใดคนหนึ่ง นั้นก็คืออ.. สุนัขกระเป๋าหรือเจ้าชิวาว่าตัวน้อยที่เหล่าบรรดาเซเลปบริตี้ทั้งหลายชอบเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่น เพื่อนรัก เพราะเจ้าสุนัขชิวาว่า เป็นสัตว์เลี้ยงที่ใครหลายคนต่างนิยม..พูดมาขนาดนี้แล้วหลายๆคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ!! หน้าตามันเป็นยังไงนะ แล้วหมาอะไรจะเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสะพายของเราได้งั้นเรามารู้จักกับเจ้าชิวาว่าตัวน้อยกันเลยยยยยย...
ประวัติของสุนัขชิวาว่า
          เมื่อสมัยราวๆ ต้นศตวรรษที่ 19 เคยมีอาณาจักรชื่อ Toltecs (ในปัจจุบันเป็นประเทศเม็กซิโก) อาณาจักรนี้รุ่งเรืองอยู่นานนับ 100 ปี มีอารยธรรมและความเจริญต่าง ๆมากมาย หนึ่งในนั้นคือการสร้างสุนัขพันธุ์ Techichi โดยสุนัขจะมีขนาดเล็ก แต่กระดูกใหญ่ ขนยาว ลักษณะเด่นพิเศษคือเป็นสุนัขที่เงียบ ถือกันว่า Techichi เป็นสุนัขพื้นเมืองในแถบอเมริกากลาง และที่สำคัญคือ เป็นต้นกำเนิด "ชิวาว่า" ในปัจจุบัน 



          หลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่า Techichi เป็นสุนัขตั้งแต่สมัย Toltecs คือรูปแกะสลักสุนัขบนหินเป็นรูปของสุนัขที่มีลักษณะใกล้เคียงกับชิวาวาในปัจจุบัน รูปแกะสลักนี้ปัจจุบันอยู่ที่ Monastery of Auejotzingo ตั้งอยู่ที่ประเทศเม็กซิโกหลังจากอาณาจักร Toltecs ล่มสลายหายไป ก็ถึงคราวเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร Aztec ซึ่งเกิดขึ้นในบริเวณเดียวกับ Toltecs จึงทำให้มีผู้ค้นพบเศษซากโบราณวัตถุอยู่เสมอ และมักจะเจอหลักฐานเก่าแก่เกี่ยวกับต้นตระกูลสายพันธุ์ของชิวาวาอยู่เสมอ ซึ่งเจอครั้งแรกในปี ค.ศ.1850 ที่โบราณสถานใกล้กับ Casas Grandes โดยเชื่อกันว่าที่แห่งนี้เคยเป็นวังของพระจักรพรรดิ Motezuma  ที่ 1 แห่ง "Aztec" จึงทำให้มีเรื่องราวว่ากันว่า อาณาจักร Aztec ร่ำรวยมาก พระจักรพรรดิ Montezuma ทรงเลี้ยงชิวาวาไว้ในวัง จึงทำให้พวกชนชั้นสูงนิยมเลี้ยงกันมาก ในสมัยนั้นแม้แต่ชิวาว่าของเศรษฐียังเป็นที่ยกย่อง ส่วนตัวไหนที่มีสีน้ำเงินจะถือเป็นสุนัขศักดิ์สิทธิ์
นอกจากนี้นักโบราณมักจะพบเจอซากชิวาวาถูกฝังอยู่ในหลุมศพเดียวกับคนอยู่ทั่วไปในเม็กซิโก อยู่เป็นประจำ จึงทำให้เชื่อกันว่า ประเทศเม็กซิโก น่าจะเป็นประเทศต้นกำเนิด"สุนัขพันธุ์ ชิวาว่า"



ลักษณะทั่วไป
          ชิวาวา เป็นสุนัขขนาดเล็ก ถือว่าตัวเล็กที่สุดในโลก หูมีขนาดใหญ่ ดวงตากลมโต เหมาะที่จะใช้เลี้ยงเป็นเพื่อน ชอบออกไปเดินเล่นกับเจ้าของ เห่าเสียงดัง ค่อนข้างติดเจ้าของและไม่ทำลายข้าวของ 

ลักษณะนิสัย 
          ชิวาวาเป็นสุนัขมีความฉลาดและจงรักภักดีต่อเจ้าของมา กเมื่อเทียบกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ โดยปกติมักเป็นสุนัขที่เงียบสงบไม่ค่อยเห่าส่งเสียงร บกวน เว้นแต่จะถูกรบกวนหรือทำตกใจจึงจะเห่าเพื่อรักษาที่อยู่อาศัยของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีนิสัยกล้าหาญมักจะยืนหยัดต่อสู้กับสุนัขตัวอื่นๆ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กกว่า แต่ก็มีอัธยาศัยที่ดีกับสุนัขตัวอื่นหรือสัตว์เลี้ยง ชนิดอื่นๆ



ในเมื่อเรารู้จักกับประวัติและ ลักษณะนิสัยของเจ้าสุนัขชิวาว่ากันแล้ว งั้นเรามารู้จัก 7 เรื่องลับๆ ของน้องหมาชิวาว่าสุดแสนน่ารักพวกนี้กันดีกว่า จะมีอะไรบ้างน้าาา.. 

1. สุนัขตัวเล็กแต่ใจใหญ่ 

         หากคุณจะเลือกสุนัขสักตัวมาเป็นเพื่อนคู่ใจ ก็อย่าเพิ่งตัดสินใจอะไร ๆ จากภายนอกนะคะ เพราะถึงแม้ภายนอกของสุนัขพันธุ์ชิวาวาจะดูอ่อนหวาน นิ่ง ๆ และไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบ ๆ ตัวเท่าไหร่ แต่จริง ๆ แล้วชิวาวานั้นเป็นสุนัขที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่ และมีความกล้าหาญกว่าที่คุณคิดเอาไว้มาก ที่นี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมเราจึงบอกว่าอย่าเพิ่งตัดสินชิวาวาจากภายนอก

2. ร่างกายแข็งแรงสุด ๆ  


         เจ้าตัวจิ๋วชิวาวา มีอายุเฉลี่ยถึง 13 - 15 ปีเลยทีเดียว และบางตัวก็อาจจะมีอายุยืนกว่านี้ นั่นเป็นเพราะร่างกายของชิวาวานั้นแข็งแรงมากและไม่ค่อยพบปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสุนัขพันธุ์อื่น ๆ เนื่องมาจากชิวาวาเป็นสุนัขที่มีนิสัยร่าเริง ไม่ค่อยมีความเครียดจึงทำให้พวกมันมีสุขภาพที่ดี และมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมที่จะทำให้เจ้าของมีความสุขไปกับพวกมันด้วย

3. ซื่อสัตย์กับเจ้าของมาก  


         สุนัขพันธุ์ชิวาวาก็มีนิสัยรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายของตัวเองมาก ๆ เช่นกับพันธุ์อื่น ๆ ดังนั้นชิวาวาจะมีความสุขมาก หากเห็นคุณรักและเอาใจใส่มันเพียงตัวเดียว แต่ถ้าคุณกลัวชิวาวาจะเหงา อยากจะหาสุนัขอีกสักตัวมาอยู่เป็นเพื่อน ก็ควรเลือกสุนัขสายพันธุ์เดียวกับชิวาวาเอาไว้ดีกว่า เพราะพวกมันจะยินดีต้อนรับสุนัขสายพันธุ์เดียวกันมากกว่าสุนัขต่างสายพันธุ์

4. เป็นเพื่อนที่ตายแทนได้
         ถ้าใครได้ก้าวเข้ามาอยู่ในใจของสุนัขตัวเล็กสายพันธุ์ชิวาวาแล้ว พวกมันไม่มีวันปล่อยให้คุณต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายแน่นอน เพราะชิวาวาจะจับสังเกตคุณอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าคุณจะทำอะไรอยู่ที่ไหน เสมือนเป็นเงาตัวน้อย ๆ ของคุณนั่นเอง นอกจากนี้พวกมันก็เต็มใจทำตามคำสั่งของคุณโดยไม่ขัดขืนหรือแสดงอาการก้าวร้าวอีกด้วย ฉะนั้นคุณก็อย่าลืมเอาใจใส่และให้ความรักพวกมันอย่างเต็มที่เหมือนที่พวกมอบให้คุณด้วยนะ

5. ไม่ชอบอากาศหนาวอย่างแรง  

         
         ถึงแม้ชิวาวานั้นจะมีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์แข็งแรงแค่ไหนก็ตาม แต่บางครั้งชิวาวาก็ไม่สามารถเอาชนะอากาศที่หนาวเย็นได้ ฉะนั้นหากที่บ้านของคุณเริ่มมีอากาศหนาวเย็นก็อย่าลืมหาเสื้อผ้าอุ่น ๆ ใส่ให้พวกมันด้วยนะ เพราะความเย็นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคข้อกระดูกเสื่อม ทางที่ดีก็เลี้ยงเอาไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติดีกว่าจ้า

6. ฉลาดเป็นกรด

         ชิวาวามีนิสัยกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้พวกมันสามารถพัฒนาทักษะต่าง ๆ และเรียนรู้สิ่งรอบตัวได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกมันจะทำตรงกันข้ามเมื่อรู้สึกเบื่อหรือเซ็ง ซึ่งถ้าเกิดชิวาวาของคุณมีอาการแบบนี้ คุณก็ควรเอาใจใส่และดูแลพวกมันเป็นพิเศษขึ้นอีกสักนิด เดี๋ยวพวกมันก็กลับมาสดใสเหมือนเดิมแล้วล่ะ

7. สุนัขตัวโปรดของเหล่าเซเลบฯ


         สุนัขพันธุ์ชิวาวาถือเป็นสุนัขที่ออกกล้องกับเหล่าเซเลบฯ บ่อยที่สุด ไม่ว่าสาวไฮโซสุดเซ็กซี่อย่างปารีส ฮิลตัน หรืออดีตนางเอกสาวที่ผันตัวไปเป็นผู้กำกับอย่าง รีส วิสเทอร์สปูน ก็มักจะอุ้มชิวาวาตัวโปรดมาปรากฏตัวพร้อมกับพวกเธอบ่อย ๆ และหากย้อนกลับไปอีกนิดก็จะเห็นว่าสุนัขพันธุ์นี้ยังเป็นสุนัขที่สนใจของเจ้าแม่วงการหนังอย่าง มาริรีน มอนโร อีกด้วย



อีกเรื่องสำหรับคนรักสุนัขที่ขาดไม่ได้เลยในการเลี้ยงสุนัข คือ.. แท่นแท๊นนน โรคที่มากับน้องหมานั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นโรคที่ติดตัวหรือสายพันธ์ของสุนัขชิวาว่ามาแต่กำเนิด หรือโรคที่เพิ่งได้รับตอนมาอยู่ร่วมกับเจ้าของ ดังนั้นโรคที่พบบ่อยๆ จะมีอะไรบ้างมาดูกันนนน...


1. Hypoglycemia หรือสภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในลูกสุนัขพันธุ์เล็ก ซึ่งส่วนใหญ่จะหายไปเมื่อสุนัขโตขึ้น แต่ก็มีบางตัวที่อาจจะเป็นตลอด อาการของสภาวะนี้ก็คือ เดินเซไปเซมา ตาค้าง ตัวอ่อน หรือชักเกร็ง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจจะทำให้เกิดอาการชัก หมดสติ และอาจจะตายได้ในที่สุด 
วิธีรักษา ให้ร่างกายของเขาได้รับน้ำตาลเพิ่มขึ้น ทำได้โดยการป้อนน้ำหวานหรือพวกสารอาหารบำรุงให้กับลูกสุนัข สักพักลูกสุนัขก็จะมีอาการดีขึ้น โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยกำหนดเวลาให้อาหารลูกสุนัขให้สม่ำเสมอเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นในลูกสุนัขอายุ 2-3 เดือน

2. Molera โดยทั่วไปแล้ว molera ถูกมองว่าเป็นลักษณะประจำสายพันธุ์และไม่ได้ถือว่าเป็นความบกพร่อง Molera คือ จุดอ่อนนุ่มเป็นรูเล็กๆส่วนบนของกะโหลก และจะเล็กลงเมื่ออายุมากขึ้น เวลาที่สัมผัสส่วนนี้เบาๆด้วยความนุ่มนวลก็จะไม่มีอันตราย แต่ถ้าหากถูกกระแทกแรงๆก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน ในบางตัวที่มีขนาดของ molera ใหญ่มากอาจจะทำให้มีโอกาสเป็น hydrocephalus หรือภาวะสมองบวมน้ำ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปเพราะว่ายังมีอาการอีกหลายอย่างที่จะแสดงว่าสุนัขเป็น hydrocephalus ชิวาวา 80-90% มี molera

3. Hydrocephalus หรือสภาวะสมองบวมน้ำ  สุนัขที่เป็น hydrocephalus จะมีลักษณะหัวที่ใหญ่ผิดปกติเมื่อเทียบกับขนาดตัว กะโหลกขยายใหญ่ รอยต่อของกะโหลกไม่เชื่อมต่อกันและเกิดช่องว่างระหว่างเนื้อสมองและกะโหลก ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะสมองบวมน้ำ ภาวะสมองบวมน้ำอาจเป็นผลมาจากยีนผิดปกติ หรือเกิดจากการสะสมของ CSF มากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดตั้งแต่ลูกสุนัขยังอยู่ในท้องหรือหลังจากคลอดไม่นานโดยไม่ทราบสาเหตุ ลูกสุนัขที่มีภาวะสมองบวมน้ำขั้นรุนแรงส่วนมากจะตายภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากคลอดได้ไม่นาน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของความดันในสมอง ในลูกสุนัขที่มีอาการไม่รุนแรงมากนักอาจจะมีอายุได้มากกว่า 2-3 เดือน ในสุนัขที่มีภาวะสมองบวมน้ำจะทำให้การเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ อาการอื่นที่พบได้บ่อยๆคือ มีอาการชัก เห็นตาขาวมากกว่าปกติ เดินไม่มั่นคง ตามองไปคนละข้าง ถึงแม้ว่าภาวะสมองบวมน้ำจะทำให้สุนัขส่วนใหญ่ตายตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็มีบางตัวที่สามารถอยู่ได้มากกว่า 2 ปี สุนัขที่มีภาวะสมองบวมน้ำไม่ควรนำมาใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์เพราะอาจถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ในการรักษาโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีน้อยและราคาสูง

4. reverse sneezing อาการ หอบ หายใจดังครืดๆ หรือ ทำท่าจะอ้อก แต่ไม่มีอะไรออกมา จะเกิดอาการเมื่อ ตื่นเต้น มากหรืออากาศเย็น ก็ทำให้เป็นได้ วิธีแก้ไข ให้นวดที่คอหอย ให้น้องชิวาวากลืนน้ำลาย ก็จะดีขึ้น


5. Collapsing Trachea หรือโรคหลอดลมตีบ หลอดลม เป็นอวัยวะสำคัญที่นำอากาศจากคอเข้าไปสู่ปอด หลอดลมประกอบด้วยกระดูกอ่อนรูปตัว C ประมาณ 35-45 ชิ้นมาประกอบเชื่อมกันด้วยกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นมาเป็นรูปร่างคล้ายๆหลอดเมื่อกระดูกอ่อนรูปตัว C นั้นเกิดยุบตัวลงมา ส่วนใหญ่การที่หลอดลมฟีบแบนลงมานั้นเกิดจากการหายใจเอาอากาศเข้าอย่างรวดเร็ว เมื่อหลอดลมยุบตัวลง ก็จะทำให้การหายใจนำอากาศเข้าสู่ปอดเป็นได้ได้ด้วยความยากลำบาก 
Collapsing Trachea เกิดขึ้นได้อย่างไร จากการศึกษาที่มาของโรคหลอดลมยุบตัวนั้น ทางแพทย์ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เป็นที่ทราบกันว่า สุนัขที่เป็นโรคนี้มีความผิดปกติทางด้านเคมีในการสร้างหลอดลมขึ้นมา เมื่อกระดูกอ่อนรูปตัว C มีความแข็งแรงไม่เพียงพอ หลอดลมจึงไม่สามารถมีรูปร่างที่ถูกต้องได้ โรคหลอดลมยุบตัวเป็นโรคที่มักจะพบในสุนัขหลายๆพันธ์เช่น ชิวาว่า ปอมเมอเรเนี่ยน ชิสุห์ ลาซ่าแอปโซ่ พูเดิ้ล และยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย ดังนั้น ด้วยความที่โรคนี้มักเกิดกับสุนัขพันธ์ดังกล่าว จึงมีคนตั้งข้อสงสัยว่า โรคนี้อาจจะเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมอีกโรคหนึ่ง แต่ก็ว่ายังไม่มีหลักฐานการพิสูจน์ว่าโรคหลอดลมยุบตัวเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม


6. Mitral Valve insufficiencyหรือโรค ลิ้นหัวใจรั่ว เกิดจากความเสื่อมของร่างกายเอง หรือ อาจเกิดการติดเชื้อในร่างกายแล้วทำให้ลิ้นหัวใจเกิดการอักเสบ หรืออาจเกิดการขยายใหญ่ของหัวใจจนลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท โดยมากมักพบกับลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างห้องบนและล่างซ้าย (แต่อาจเกิดที่ลิ้นหัวใจอื่นก็ได้) 
การรักษาโรค เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาจึงทำเพื่อบรรเทาอาการ และเพิ่มคุณภาพชีวิตเท่านั้น ทำได้โดยการให้ยาขยายหลอดเลือด ยาขับน้ำ หรือ/และ ยากระตุ้นการทำงานของหัวใจ ในปัจจุบันอาจมีเทคนิดในการเปลี่ยนลิ้นหัวใจโดยใช้ลิ้นหัวใจเทียม ซึ่งยังเป็นในการทดลองมากกว่า การปฏิบัติจริงในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้นอกจากโรคต่างๆที่อาจเิกิดกับชิวาวา เช่นมีอาการไอ หายใจสั้นๆ และหมดแรง



สุดท้ายนี้.. ขอให้ทุกคนที่เลี้ยงสุนัขพันธ์นี้ ดูแล รัก และเอาใจใส่น้องชิของเราให้มีสุขภาพแข็งแรง รู้ทันโรคภัยของน้องๆ ให้เหล่าบรรดาสุนัขตัวน้อยๆอยู่กับเราไปนานๆนะค่าาา.. ^___^